API ทำงานอย่างไร

API ย่อมาจาก Application Programming Interface เป็นตัวกลางของซอฟต์แวร์ (คิดว่าเป็นเครื่องมือแปลโดยมนุษย์) ที่ช่วยให้สองแอปพลิเคชันสามารถพูดคุยกันได้ นึกภาพคนที่พูดภาษาฝรั่งเศสเท่านั้นต้องการคุยกับคนที่สามารถสนทนาเป็นภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น พวกเขาต้องการคนที่รู้ทั้งสองภาษาเพื่อทำงานเป็นตัวกลางระหว่างพวกเขา ขณะนี้มีหลายร้อยภาษาในโลก และไม่มีผู้ใดสามารถทำหน้าที่เป็นล่ามสำหรับทุกคนได้ อย่างไรก็ตาม ด้วย APIs โค้ดที่เขียนด้วย Java, Python หรือ HTML (ภาษาโปรแกรมต่างๆ) สามารถโต้ตอบกันผ่านวิธีการเดียวกันได้ตราบเท่าที่เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ทั่วโลก ในบทความนี้ เราจะมาเรียนรู้ว่า API ทำงานอย่างไร

APIs ใช้ที่ไหน?

คุณเคยเห็น API หรือ Application Programming Interface ทำงานมาก่อนหรือไม่? ในกรณีที่คุณใช้แอปพลิเคชันมือถือหรือท่องเว็บ คุณอาจทำการเรียก API นับพันรายการทุกวัน ทุกครั้งที่คุณเปลี่ยนเพลงบน Spotify จองรถแท็กซี่บน Uber เข้าสู่ระบบบัญชี Gmail ของคุณ สั่งพิซซ่าที่ Domino's หรือซื้อผลิตภัณฑ์ใน Amazon คุณจะทำการเรียก API หลายครั้งโดยไม่รู้ตัว เหตุผลเบื้องหลังคือเบื้องหลังปุ่มแฟนซีและป๊อปอัป โค้ดจริงกำลังทำงานอยู่ และทุกวันนี้เกือบทุกการกระทำบนแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ ส่งผลให้มีการ เรียก API ซึ่งจะดึงข้อมูลบางส่วนมาให้คุณหรือทำการเปลี่ยนแปลงที่คุณต้องการ ตอนนี้คุณรู้แล้วว่า API ทำงานอย่างไรในระดับหนึ่ง

รูป: API ทำงานอย่างไร ที่มา: API คืออะไร? มันทำงานอย่างไร? | โดย Amanda Kothalawala | ปานกลาง

อุปกรณ์ใดก็ตามที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตในปัจจุบัน กำลังทำการเรียก API ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทวอทช์หรือตู้เย็นอัจฉริยะ ทีวี Android หรือ Playstation V อุปกรณ์ใดๆ ที่ส่งข้อมูลไปยังคลาวด์หรือรับข้อมูลจากคลาวด์ ทำได้ผ่าน API API ช่วยกำหนดรูปแบบการสื่อสารให้เป็นมาตรฐาน และด้วยเหตุนี้ แม้แต่อุปกรณ์ก็สื่อสารผ่านตัวเองโดยใช้โปรโตคอลเดียวกัน ตัวอย่างเช่น สมมติว่าคุณกำลังใช้สมาร์ทวอทช์ คุณวิ่ง นาฬิกาอัจฉริยะจะบันทึก และข้อมูลจะได้รับการอัปเดตบนโทรศัพท์มือถือของคุณด้วย เมื่อคุณกลับบ้าน ทุกเดือน คุณเข้าสู่ระบบเว็บไซต์ด้านสุขภาพและฟิตเนสจากแล็ปท็อปเพื่อตรวจสอบรายละเอียดกิจกรรมประจำเดือนของคุณ ตอนนี้ข้อมูลได้รับการแลกเปลี่ยนระหว่างอุปกรณ์ 3 เครื่องนี้อย่างไร? ยังสงสัยว่า API ทำงานอย่างไร

เมื่อคุณวิ่ง สมาร์ตวอทช์จะคำนวณงานของคุณและบันทึกลงในเซิร์ฟเวอร์ ผ่านการเรียก API POST เมื่อคุณกลับบ้าน คุณใช้โทรศัพท์เพื่อตรวจสอบผลการออกกำลังกาย - มีการเรียก API GET และคุณสามารถดูข้อมูลได้ เมื่อสิ้นเดือนเมื่อคุณลงชื่อเข้าใช้เว็บไซต์จากแล็ปท็อปและตรวจสอบข้อมูลรายเดือนของคุณ มีการเรียก API GET อีกครั้งซึ่งดึงข้อมูลรวมสำหรับเดือนนั้นมาให้คุณ

รูป: APIs ถูกใช้ที่ไหน?

ตอนนี้คุณสามารถเห็นได้ว่าเราใช้คำหลัก "GET" และ "POST" กับ "API" นอกจากนี้เรายังอ้างถึงการใช้ API ว่าเป็นการเรียก API ลองดูเพิ่มเติมในสิ่งเหล่านี้

การใช้ API ใด ๆ เรียกว่าการเรียก API ซึ่งคล้ายกับการโทร เนื่องจากเป็นรูปแบบการสื่อสารที่บริการหนึ่งเรียกใช้บริการอื่น (บริการที่นี่อาจหมายถึงอุปกรณ์หรือเซิร์ฟเวอร์ในระบบคลาวด์) สำหรับประเภทการเรียก API มี 4 ประเภท:

• GET : ใช้เพื่อดึงข้อมูลหรือข้อมูลเป็นหลัก ทุกครั้งที่คุณค้นหาคำหลักบางคำในแถบค้นหาของ Google Google จะดำเนินการเรียก GET API ในแบ็กเอนด์อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อดึงข้อมูลที่มีคำหลักของคุณ
• POST : ส่วนใหญ่จะใช้เพื่อเพิ่มข้อมูลใหม่ ตัวอย่างเช่น เมื่อคุณสร้างบัญชีบนเว็บไซต์โซเชียลเน็ตเวิร์ก คุณให้ข้อมูลมากมายเกี่ยวกับตัวคุณเอง ทั้งหมดนี้ถูกส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ของเว็บไซต์โดยใช้การเรียก API POST
• PUT : เทียบเท่ากับการแก้ไขข้อมูล เมื่อคุณต้องการอัปเดตข้อมูลใดๆ บนเว็บไซต์ใดๆ โดยการเปลี่ยนแปลงข้อมูลที่มีอยู่ เว็บไซต์จะส่งการเรียก PUT API ในบางกรณีอาจใช้การเรียก POST เพื่อเขียนทับข้อมูลที่มีอยู่
• DELETE : ใช้อย่างเบาบางที่สุด นี่คือการเรียก API ที่จะเกิดขึ้นเมื่อคุณพยายามลบข้อมูลของคุณบนเว็บไซต์ใดๆ หรือพยายามปิดบัญชีใดๆ

ประโยชน์คืออะไร?

ทำไมคุณถึงต้องการ API แม้ว่าเราจะเข้าใจว่าประโยชน์หลักของการใช้การสื่อสารแบบ API อยู่ที่การที่ระบบสองระบบสามารถโต้ตอบกันได้อย่างง่ายดาย แต่ก็ยังมีประโยชน์เพิ่มเติมที่สำคัญบางประการ:

1. ความปลอดภัย : API ช่วยลบช่องโหว่ด้านความปลอดภัยได้หลายวิธี API ส่วนใหญ่ต้องการให้ส่งผ่านคีย์หรือลายเซ็นเมื่อมีการเรียก ซึ่งจะช่วยในการจำกัดการเรียก API ที่ไม่ต้องการซึ่งอาจโอเวอร์โหลดเซิร์ฟเวอร์ เฉพาะผู้ที่ถือกุญแจเท่านั้นที่สามารถเรียก API ส่วนตัวได้ ในขณะที่ลายเซ็นจะใช้สำหรับ Hit ครั้งเดียว ซึ่งเป็นตั๋วที่ให้คุณทำการเรียก API ครั้งเดียวภายใต้พารามิเตอร์ที่เฉพาะเจาะจงมาก API ได้ปรับปรุงความปลอดภัยโดยรวมบนอินเทอร์เน็ต ฟีเจอร์ SSO หรือ single sign-on ที่ให้คุณเข้าสู่ระบบได้เกือบทุกเว็บไซต์โดยใช้ข้อมูลประจำตัว Facebook หรือ Google ของคุณ ต้องขอบคุณ API ที่พัฒนาโดยบริษัทเหล่านี้ซึ่งช่วยดึงข้อมูลรับรองของคุณในแบบเรียลไทม์

2. การถ่ายโอนข้อมูลตามเวลาจริง : อุปกรณ์ทุกเครื่องกำลังสร้างข้อมูล MB ทุก ๆ วินาทีในวันนี้ อุปกรณ์กำลังโต้ตอบระหว่างกันหรือกับเซิร์ฟเวอร์คลาวด์ ด้วยข้อมูลจำนวนมากในมือ การถ่ายโอนอย่างรวดเร็วจึงเป็นสิ่งจำเป็น ในสมัยก่อน การถ่ายโอนข้อมูลมักจะทำเป็นแบทช์ ทุกๆ 5 นาที หรือทุกๆ 1Gb เป็นต้น ทุกวันนี้ API ได้เปิดใช้งานการถ่ายโอนข้อมูลในทันที ไม่ว่าข้อมูลใดที่โทรศัพท์มือถือของคุณจับ จะถูกซิงค์ไปยังคลาวด์ทุกมิลลิวินาที

รูป: ประโยชน์ของการใช้ APIs

3. ไม่มีไซโลข้อมูลที่ไม่ได้ใช้งานอีกต่อไป : เว้นแต่ว่าคุณมีการป้องกันที่เหมาะสม ข้อมูลจากแผนกต่างๆ อาจนั่งดูรอบๆ รวบรวมแมลงวันโดยไม่ได้ใช้งาน ปัญหาเบื้องหลังการสร้างไซโลข้อมูลดังกล่าวมักจะมีความยุ่งยากในการถ่ายโอนข้อมูลหรือการเข้าถึงข้อมูล ต้องขอบคุณ API ที่ทำให้ข้อมูลสามารถไหลระหว่างระบบต่างๆ ได้โดยอัตโนมัติ และสามารถให้การเข้าถึงข้อมูลได้เช่นกัน การเข้าถึงข้อมูลนี้สามารถควบคุมเพิ่มเติมได้โดยใช้คีย์ API

4. สร้างครั้งเดียว ใช้ได้ทุกที่ : ลองนึกภาพว่าคุณกำลังสร้างเว็บไซต์เพื่อขายวงจร และเป็นเวลาหนึ่งปีที่คุณทำงานกับมัน ขยายมัน รับลูกค้าสองสามราย และตอนนี้คุณพร้อมที่จะเติบโตต่อไป คุณต้องการสร้างแอปพลิเคชัน Android แต่คุณจะสร้างมันขึ้นมาใหม่หรือเปล่า? มันจะยากและใช้เวลาขนาดไหน?

แต่หากคุณเคยใช้ API ในขั้นตอนการพัฒนา คุณสามารถใช้องค์ประกอบซ้ำได้มากมายในเว็บไซต์บนมือถือของคุณ ตัวอย่างเช่น สมมติว่าคุณมี API ที่ดึงข้อมูลรายการรอบในสต็อก คุณสามารถใช้ API เดียวกันในโทรศัพท์มือถือของคุณ และเพียงแค่ทำการเปลี่ยนแปลงกับ UI เพื่อให้รูปลักษณ์และความรู้สึกถูกปรับให้เข้ากับจอแสดงผลขนาดเล็กลงเล็กน้อย

5. ส่งเสริมไมโครเซอร์วิส : จากมุมมองทางเทคนิค การสร้างแอปพลิเคชั่นขนาดใหญ่ไม่มีประโยชน์ ตัวอย่างเช่น Google Maps ให้บริการมากมายแก่คุณ โดยแสดงตำแหน่งของคุณบนแผนที่ ช่วยคำนวณระยะทางระหว่าง (และวิธีการย้ายไปมาระหว่าง) ตำแหน่งสองแห่งบนแผนที่ แสดงสภาพการจราจร และอื่นๆ ขณะนี้มีการสำรวจรายละเอียดการทำงานของ API อย่างไร

ทั้งหมดนี้ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของบริการเดียว แต่มี API หลายตัวที่แสดงผ่านอินเทอร์เฟซผู้ใช้เดียวในแอปพลิเคชัน Google Maps สิ่งนี้ช่วยให้บรรลุสองสิ่ง:

1. ในกรณีที่บริการใดบริการหนึ่งหยุดทำงานเนื่องจากการหยุดทำงานของเซิร์ฟเวอร์ บริการอื่นๆ จะไม่ได้รับผลกระทบ ตัวอย่างเช่น หาก API การรับส่งข้อมูลหยุดทำงาน คุณจะยังสามารถใช้บริการระบุตำแหน่งได้เนื่องจากทั้งสองไม่เกี่ยวข้องกัน
2. ผู้อื่นสามารถใช้ API ต่างๆ และรวมเข้าด้วยกันแยกกันได้ Uber อาจใช้บริการแผนที่และตำแหน่ง ในขณะที่ Strava อาจใช้ API เครื่องคำนวณความเร็ว

APIs ทำงานอย่างไร – โดยสรุป

ดังนั้น คุณได้เรียนรู้ว่า API ทำงานอย่างไร API ทำให้การรวมข้อมูลง่ายขึ้นและสร้างมาตรฐานให้กับกระบวนการข้ามระบบ สิ่งนี้ใช้กับการใช้ข้อมูลที่คัดลอกมาจากอินเทอร์เน็ตเช่นกัน นี่คือเหตุผลที่ทีมของเราที่ PromptCloud เสนอการรวม API สำหรับข้อมูลทั้งหมดที่คุณต้องรวบรวมจากเว็บ

ข้อมูลจะไม่เพียงแต่ถูกคัดลอก ล้าง และจัดเก็บ (และอัปเดต) ในแบบเรียลไทม์ แต่แม้กระทั่งการเข้าถึงข้อมูลก็เร็วขึ้นโดยใช้ API ซึ่งจะช่วยให้แผนกภายในต่างๆ ในบริษัทของคุณเข้าถึงจุดข้อมูลต่างๆ ที่อาจเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจของพวกเขา

ความเร็วและความปลอดภัยเป็นทั้งแง่มุมที่สำคัญในระบบการสื่อสารในปัจจุบัน และ API ช่วยปรับปรุงทั้งสองอย่าง การมีระบบการ ขูดเว็บบน API ที่ทำงานบนคลาวด์สามารถเป็นตัวเปลี่ยนเกมสำหรับทีมธุรกิจของคุณ